การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์

การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล แบ่งได้ 2 แบบ คือ
1.สมัยก่อนประวัติศาสตร์

1.1  ยุคหินเก่า1,700,000 -10,000 ปี ก่อนปัจจุบัน



1.2 ยุคหินกลาง 10,000  - 5,000 ปีก่อนปัจจุบัน

1.3ยุคหินใหม่ 5,000 -2,000 ปี ก่อนถึงปัจจุบัน

2. ยุคโลหะแบ่งออกเป็น2ยุค
1.ยุคสำริด 3,500-2,500 ปี หลักฐานที่ปรากฏ เครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยเหล็ก รู้จักการติดต่อค้าขาย
2.ยุคเหล็ก 2500 – 1500 ปี หลักฐานที่ปรากฏ เครื่องใช้ทำด้วยเหล็ก รู้จักการติดต่อค้าขาย




2.สมัยประวัติศาสตร์






การแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลก
ความนิยมในการแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลกมักแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่
                - สมัยโบราณ
                - สมัยกลาง
                - สมัยใหม่

สมัยโบราณ 
    ในความหมายที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการตั้งถิ่นฐานถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึงเร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาใดทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์อารยธรรมที่จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะจัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลกจะตรงกับ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 476 เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อารยรรมที่โด่งดังจำนวนมากของโลกถือกำเนิดในช่วงนี้ เช่น อารยธรรมโรมัน กรีก เมโสโปเตเมีย จีน อียิปต์ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกจึงกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวให้เป็นสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน และอิทธิพลของโรมันก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรป และไปทั่วโลก ทำให้โลกโดยรวมออกจากสมัยโบราณ เข้าสู่ สมัยกลาง
      ทางด้านอารยธรรมสมัยโบราณของต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรป มีอารยธรรมที่น่าสนใจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น อารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในช่วงหลายพันปีก่อน แล้วยังมีชื่อเสียงอยู่จนถึงปัจจุบันมีมากมาย เช่น จูเลียส ซีซาร์, คลีโอพัตรา รวมทั้งฟาโรห์หลายพระองค์แห่งอียิปต์
ยุคโบราณตอนปลาย
ยุคโบราณตอนปลาย (อังกฤษ: Late Antiquity) เป็นสมัยประวัติศาสตร์ที่ใช้โดยนักประวัติศาสตร์ในการบรรยายช่วงเวลาที่เปลี่ยนจากยุคโบราณคลาสสิคไปเป็นยุคกลางทั้งบนแผ่นดินใหญ่ยุโรปและบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ของเขตของสมัยยังคงเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอยู่ แต่นักประวัติศาสตร์คนสำคัญปีเตอร์ บราวน์เสนอว่าเป็นช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 2 ถึง ที่ 8 โดยทั่วไปแล้วก็อาจจะเทียบได้กับช่วงเวลาตั้งแต่การสิ้นสุดของวิกฤติการณ์ของคริสต์ศตวรรษที่ 3 (ค.ศ. 235-ค.ศ. 284) ของจักรวรรดิโรมัน ไปจนถึงการจัดระบบบริหารของจักรวรรดิโรมันตะวันออกภายใต้การนำของจักรพรรดิเฮราคลิอัส และการพิชิตดินแดนโดยมุสลิมในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 7
        จักรวรรดิโรมันประสบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ทั้งทางด้านสังคม, วัฒนธรรม และ ระบบการปกครองที่เริ่มขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียนผู้ทรงเป็นผู้เริ่มการแบ่งจักรวรรดิออกเป็นสองส่วนคือจักรวรรดิโรมันตะวันออกและจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ปกครองโดยพระจักรพรรดิหลายพระองค์ เริ่มด้วยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เมื่อจักรวรรดิถูกเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิคริสเตียน และการก่อตั้งคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง การโยกย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชนเจอร์มานิคต่อมาก็บั่นทอนเสถียรภาพของจักรวรรดิยิ่งขึ้นไปอีก ที่ในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปีค.ศ. 476 และมาแทนที่ด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ของชนเจอร์มานิค หรือ “ระบอบพระมหากษัตริย์ของอนารยชน” ผลก็คือการผสานระหว่างวัฒนธรรมกรีก-โรมัน เจอร์มานิค และ คริสเตียนที่กลายมาเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก
การสูญเสียประชากร, ความรู้ทางเทคโนโลยี และ มาตรฐานความเป็นอยู่ของยุโรปตะวันตกในยุคนี้เป็นลักษณะของสถานภาพที่เรียกว่า “การล่มสลายของสังคม” (Societal collapse) โดยนักเขียนตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จากความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นและการขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตกในช่วงนี้โดยเฉพาะ ในช่วงระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกมาจนถึงยุคกลาง ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น “ยุคมืด” ที่มาแทนที่ด้วยคำว่า “ยุคโบราณตอนปลาย”

สมัยกลาง
ยุคกลาง (อังกฤษ: Medieval Age) หรือ สมัยกลาง (อังกฤษ: Middle Ages) เป็นหนึ่งในการแบ่งช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก นำหน้าด้วยอารยธรรมสมัยคลาสสิค และตามหลังด้วยสมัยใหม่
นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดช่วงเวลาสมัยกลางของสากลโลกไว้ว่า การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในค.ศ. 476 เป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลาง เพราะหลังการล่มสลาย จักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งกลายเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์การล่มสลายของมหาอำนาจทำให้ยุโรปแตกเป็นอาณาจักรมากมายและไม่มีขื่อแป จนตกเป็นเหยื่อของการรุกรานจากชนชาติภายนอก คริสต์ศาสนาจึงกลายเป็นที่พึ่งและสถาบันสูงสุดของยุโรปสมัยกลาง จนในศตวรรษที่ 15 ชาติต่าง ๆ ในยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นรัฐชาติ (Nation-States) จนพัฒนากลายเป็นประเทศต่าง ๆในปัจจุบันได้ หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในปี ค.ศ. 1453ทำให้ความรู้ของกรีกและโรมันแพร่กระจายไปทั่วยุโรป เกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยา จึงเริ่มต้นเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของสมัยกลางของสากลโลก และเปิดโลกเข้าสู่สมัยใหม่
การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

จักรวรรดิโรมันแผ่ขยายอาณาเขตรอบทะเลเมดิเตอร์ราเนียนจนมีอาณาเขตสูงสุดในศตวรรษที่ 2 แต่อาณาจักรโรมันที่ใหญ่เกินไปทำให้ยากแก่การปกครอง ทำให้ต้องแบ่งจักรวรรดิออกเป็นตะวันออกและตะวันตก ในค.ศ. 330 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชตั้งเมืองไบแซนติอุม (Byzantium) เป็นเมืองหลวงใหม่แทนที่โรม ตั้งชื่อใหม่เป็นโรมใหม่ (Nova Roma) แต่ผู้คนมักจะเรียกว่า เมืองของพระเจ้าคอนสแตนติน คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) สงครามกับชนเผ่าเยอรมัน ในยุโรปกลางและตะวันออกในปัจจุบัน ทำให้ชาวโรมันเหนื่อยล้า ในศตวรรษที่ 4 พวกชนฮั่น (Huns) จากเอเชียบุกเข้ามาในยุโรปสังหารเผ่าเยอรมันอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เผ่าเยอรมันต่าง ๆ มาขออาศัยในจักรวรรดิ แลกเปลี่ยนกับการถูกเกณฑ์ไปรบ ใน ค.ศ. 378 ในการรบที่อเดรียโนเปิล (Adrianople) เผ่าวิสิโกธ เอาชนะทัพโรมันและยึดแคว้นดาเชีย (Dacia โรมาเนียในปัจจุบัน) เป็นที่มั่น
ในค.ศ. 391 จักรพรรดิธีโอโดซิอุสออกกฎหมายให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิโรมัน ความเชื่อตามหลักของคริสต์ศาสนานั้นบรรเทาความกระหายสงครามของชาวโรมันจนเกือบหมด ทำให้ต้องจ้างทหารเผ่าเยอรมันเพื่อให้สู้กับพวกเยอรมันเอง กองทัพโรมันจึงอ่อนแอลง
     พระเจ้าธีโอโดซิอุสทรงแบ่งอาณาจักรโรมันออกเป็นตะวันออกและตะวันตก การแบ่งจักรวรรดิเป็นการตัดเนื้อร้ายของจักรวรรดิ คือ ฝั่งตะวันตกที่ย่อยยับด้วยการรุกรานของเผ่าอนารยชน ทำให้จักรวรรดิฝั่งตะวันออก ที่รุ่งเรืองด้วยการค้ากับเส้นทางสายไหม ยังคงอยู่รอดเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ไปอีกพันปี

ใน ค.ศ. 409 เผ่าแวนดัล (Vandals) ทนการโจมตีของพวกฮั่นไม่ไหว จึงข้ามแม่น้ำไรน์ที่เป็นน้ำแข็งมาในแคว้นโกล (Gaul) ปล้นสะดมไปตามทางและตั้งรกรากที่คาบสมุทรไอบีเรีย ในค.ศ. 410พระเจ้าอลาริค (Alaric) แห่งพวกวิซิกอททำทัพบุกยึดกรุงโรม เผาทำลายเมืองจนพินาศ จนจักรพรรดิโฮโนริอุสแห่งจักรวรรดิตะวันตก ยกแคว้นอากีแตนในฝรั่งเศสปัจจุบันให้กับพวกวิซิกอท พวกวิซิกอทจากอากีแตนก็บุกไอบีเรียขับพวกแวนดัลไปแอฟริกาเหนือในค.ศ. 429พวกแวนดัลจากแอฟริกายกทัพเรือกลับมาโจมตีทำลายกรุงโรมใน ค.ศ. 455
           ใน ค.ศ. 476 โอโดอาเซอร์ (Odoacer) จากเผ่าเยอรมันโจมตีกรุงโรม และปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งฝั่งตะวันตก คือ จักรพรรดิโรมุลุส ออกุสตุส(Romulus Augustus) ทำให้จักรพรรดิฝั่งตะวันออกส่งพระเจ้าธีโอโดริค (Theodoric) แห่งชาวออสโตรกอท (Ostrogoths) มายึดโรมคืน แต่ธีโอโดริคก็ตั้งอาณาจักรในอิตาลีเสียเอง
ยุคมืด
          ชนเผ่าเยอรมันต่างๆเข้ามาแทนที่จักรวรรดิโรมัน ได้แก่ ชาวแองเกิลส์และชาวแซ็กซอนในอังกฤษ ชาวแฟรงก์ในฝรั่งเศส ชาววิซิกอธในสเปน ชาวแวนดัลในแอฟริกา ชาวออสโตรกอธในอิตาลี แต่จักรวรรดิโรมันตะวันออกนั้นยังอยู่ยั้งยืนยง แต่ในยุโรปตะวันตกนั้น อารยธรรมโรมันค่อยๆสูญสลาย เมื่อบ้านเมืองไม่มีขื่อแป การค้าขายและคุณภาพชีวิตจึงเสื่อมลง มีเพียงสถาบันศาสนาที่ยังคงประดิษฐานมั่นคงเป็นที่พึ่งของประชาชน สมัยนี้จึงเรียกว่ายุคมืดซึ่งไม่เกี่ยวกับความมืดมนแต่อย่างใดแต่เป็นสมัยที่บันทึกและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่มีหรือครุมเครือ
      จักรพรรดิจัสติเนียนแห่งโรมันตะวันออกทรงต้องการจะรื้อฟื้นจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ เลยทรงทำมหาสงครามยึดดินแดนต่างๆคืน โดยทรงทำลายอาณาจักรพวกแวนดัลในค.ศ. 533 และพวกออสโตรกอธในค.ศ. 552 แต่ดินแดนที่พระองค์ยึดมาได้นั้นจะหลุดมือไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการรุกรานของชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 7 และ 8 ชาวอาหรับยึดได้แอฟริกาเหนือทั้งหมด และทำลายอาณาจักรชาววิซิกอธและยึดสเปนในค.ศ. 711 รวมทั้งบุกอิตาลีด้วย
แต่การรุกรานของชาวมุสลิมก็สามารถต้านท้านไว้ได้โดยชาวแฟรงก์ พวกแฟรงก์เรืองอำนาจในศตวรรษที่ 9 ภายใต้ราชวงศ์คาโรริงเจียน ปราบปรามเผ่าเยอรมันอื่นๆ และพิชิตเยอรมนี แผ่ขยายอิทธิพลของคริสต์ศาสนา จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่อ่อนแอลงทำให้ควบคุมอิตาลีไม่ได้ ชาวลอมบาร์ด (Lombards เผ่าเยอรมันอีกเผ่า) จึงเข้ารุกรานอิตาลี พระสันตะปาปาทรงขอให้พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne) แห่งชาวแฟรงก์ช่วยเหลือ พระเจ้าชาร์เลอมาญทรงสามารถขับชาวลอมบาร์ดได้ และสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิโรมันในค.ศ. 800 เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
      จักรวรรดิของพระเจ้าชาร์เลอมาญถูกแบ่งเป็นสามส่วนตามสนธิสัญญาแวร์ดัง (Verdun) ในค.ศ. 843 เป็นอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ตะวันตก และกลาง แต่อิทธิพลของราชวงศ์คาโรแลงเจียนก็เสื่อมลง ประจวบกับการรุกรานของชาวไวกิง(Vikings) จากสแกนดีเนเวีย บุกปล้นสะดมเมืองชายฝั่งต่างๆทั่วยุโรป ทำให้การค้าล่มสลาย กษัตริย์ทรงมิอาจจะต้านการรุกรานได้ ประชาชนจึงต้องพึ่งขุนนางท้องถิ่น ทำให้ขุนนางท้องที่มีอำนาจขึ้นมา เกิดระบอบศักดินาสวามิภักดิ์(Feudalism) ที่อำนาจเป็นของขุนนาง ขณะที่กษัตริย์นั้นอ่อนแอลงทุกวัน
สมัยกลางเรืองอำนาจ 
               ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ในอาณาจักรแฟรงก์ต่างๆนั้นจะเป็นลักษณะของสมัยกลาง คือ นาย (lord) มีที่ดิน แบ่งที่ดิน (fief) ให้ลูกน้อง (vassal) ไปเพาะปลูกเกษตรกรรมและสร้างกองทัพ ขณะเดียวกันลูกน้องต้องทำหน้าที่ คือ จงรักภัคดี (homage) และช่วยรบในสงคราม และลูกน้องก็อาจจะมีลูกน้องอีกทีเป็นขั้นๆ นายที่ใหญ่ที่สุด คือ กษัตริย์ แบ่งที่ดินเป็นแคว้นๆให้ขุนนางใหญ่ปกครอง และขุนนางเหล่านั้นก็มีขุนนางใต้บังคับบัญชาอีกที
       ราชวงศ์คาโรแลงเจียนในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและตะวันตกสิ้นสุด อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกกลายเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในค.ศ. 962ด้วยการสวมมงกุฎโดยพระสันตะปาปาของจักรพรรดิออตโตที่ 1 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้รับการสวมมงกุฎจากพระสันตะปาปา ในค.ศ. 1072 พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ทรงมีความขัดแย้งกับจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 ในการแย่งชิงอำนาจการแต่งตั้งสงฆ์ เรียกว่า ข้อขัดแย้งในอำนาจการแต่งตั้งสงฆ์ (Investiture Controversy) จนจักรพรรดิเฮนรีต้องทรงเดินข้ามเทือกเขาแอลป์เพื่อขอโทษพระสันตะปาปา เป็นชัยชนะของสถาบันศาสนาต่อการปกครองบ้านเมือง การเสื่อมอำนาจของพระจักรพรรดิทำให้นครรัฐต่างๆในอิตาลีเรืองอำนาจขึ้นมา
          อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตกกลายเป็นอาณาจักรฝรั่งเศส ภายใต้ราชวงศ์กาเปเชียง อาณาจักรฝรั่งเศสเป็นที่ที่ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ส่งผลร้ายแรงที่สุด ฝรั่งเศสแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย กษัตริย์ฝรั่งเศสทรงไม่มีพระราชอำนาจในการควบคุมขุนนาง ทรงมีเพียงที่ดินรอบๆกรุงปารีสเท่านั้น ขุนนางฝรั่งเศสคนหนึ่งได้เป็นกษัตริย์อังกฤษ และด้วยการแต่งงานทำให้ได้ที่ดินมากมายในฝรั่งเศสเป็นของตนทำให้มีอำนาจมากกว่ากษัตริย์ฝรั่งเศสเองเสียอีก แม้ชาวมุสลิมจะยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem) ไป แต่ก็ให้เสรีภาพแก่ผู้แสวงบุญชาวคริสต์ที่จะเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ในศตวรรษที่ 11 เซลจุคเติร์กเข้ายึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์และขัดขวางการเดินทางแสวงบุญของชาวคริสต์ รวมทั้งได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อสู้เพื่อขับไล่ชาวมุสลิมในสเปน ประกอบกับการร้องขอจากจักรพรรดิอเล็กซิอุสที่ 1 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ให้มาช่วยรบพวกเติร์ก พระสันตะปาปาเออร์บันที่ 1 จึงประชุมสภาคลีมองต์ (Council of Clermont) ประกาศว่าทุกคนที่ไปช่วยยึดดินแดนศักดิ์สิทธิคืนจะได้รับการไถ่บาป (indulgence) ทำให้ทั้งขุนนางและชาวบ้านยกพลกันไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จนยึดดินแดนเยรูซาเล็มได้ในค.ศ. 1099 ตั้งอาณาจักรครูเสดต่างๆ เช่น ราชอาณาจักรเยรูซาเล็ม อัศวินคณะต่างๆ เช่นอัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar) หรืออัศวินฮอสพิทัลเลอร์ (Hospitallers) ทำสงครามกับพวกเติร์ก
          แต่รัฐครูเสดเหล่านี้อยู่ได้ร้อยกว่าปีก็เสียให้ชาวมุสลิมไปในที่สุด โดยเฉพาะสุลต่านซาลาดิน แห่งไคโร ยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนในค.ศ. 1291 ชาวยุโรปจึงถูกขับออกจากตะวันออกกลางไปในที่สุด สงครามครูเสดครั้งต่อๆมา เปลี่ยนเป้าหมายไปอย่างสิ้นเชิง ในค.ศ. 1204 สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ลงเอยด้วยการยึดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ตั้งจักรวรรดิลาติน(Latin Empire) และรัฐครูเสดต่างๆในกรีซ หรือสงครามครูเสดตอนเหนือโดยอัศวินทิวทัน (Teutonic Knights) ปราบปรามชาวบอลติกอย่างโหดร้ายให้มาเข้ารีตศาสนาคริสต์  ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 13 พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ออกุสตุส ปราบปรามและยึดที่ดินจากขุนนางต่างๆขยายอำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสจนกลายเป็นมหาอำนาจของสมัยกลาง ขณะที่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิทรงมุ่งจะกู้เมืองต่างๆในอิตาลีที่เป็นอิสระและสนับสนุนพระสันตะปาปา ทรงให้อำนาจขุนนางในเยอรมนี ทำให้เยอรมนีแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมากมาย
สมัยใหม่

สมัยใหม่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของอารยธรรมต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้ อารยธรรมนั้น ๆ จะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เริ่มมีแนวคิดที่ยึดหลักความจริง หลุดพ้นจากความเชื่องมงายหลายอย่างในอดีตนักวิชาการได้กำหนดช่วงเวลาที่เป็น "สมัยใหม่" ของสากลโลกไว้ให้เป็นช่วง ค.ศ. 1453-ค.ศ. 1945โดยเริ่มนับจากการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์และสิ้นสุดลงหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุตินับตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มสงสัยในความเชื่อและเนื้อหาตำราเรียนแบบเก่า ๆ ที่เชื่อกันมายาวนาน และไม่นาน ความเชื่อเก่าๆ และอำนาจการปกครองที่เด็ดขาดของศาสนจักรเริ่มเสื่อมถอยลง ผู้คนเริ่มเชื่อว่ามนุษย์สามารถลิขิตชีวิตของตนได้ด้วยการกระทำของตนเอง จึงเริ่มดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า และมีการคิดค้นทฤษฎี สิ่งประดิษฐ์ รวมไปถึงศิลปะขึ้นมากมาย ทำให้เข้าสู่สมัยใหม่ในที่สุด
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อยู่ในช่วงปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ซึ่งการเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในช่วงปลายสมัยกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่ชักนำโลกเข้าสู่สมัยใหม่ คือ วิทยาการต่างๆ จากโรมัน เริ่มถูกฟื้นฟูขึ้นมาและแผ่กระจายไปในแถบยุโรปเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนในช่วงปลายของสมัยใหม่ วิทยาการถูกใช้ไปในทางการเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ เกิดสงครามโลก สังหารผู้คนไปหลายสิบล้านคน จนในที่สุดก็มีการตระหนักถึงการใช้วิทยาการอย่างถูกทาง และมีการควบคุมเทคโนโลยีที่อาจก่ออันตราย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมัยใหม่สิ้นสุดลง และเข้าสู่ สมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา